เมื่อเวลา 18. 30 น. วันที่ 20 กค. 64 ที่ บ้านควนหินมุ้ย หมู่ที่ 12 ต. นาขา อ. หลังสวน จ. ชุมพร ร. ต. อ. ณภัทร ดวงสถิตย์ พนักงานสอบสวน สภ. บ้านในหูต อ. ชุมพร รับแจ้งเหตุรถไฟโดยสารชนรถยนต์เก๋ง ที่ ทางตัดรถไฟ พร้อมด้วยหน่วยกู้ภัยสา...
ปวดเข่า นายแพทย์ภีรฉัตร โตศิริพัฒนา อาการปวดเข่าเป็นหนึ่งในอาการที่ทำให้คนไข้ต้องมาพบแพทย์บ่อยๆ ซึ่งพบว่าอาการปวดเข่าสามารถเกิดได้จากหลายๆ สาเหตุ พบได้ทุกเพศทุกวัย หากไม่ได้รับการวินิจฉัยและได้รับการรักษาที่ถูกต้องและเหมาะสมก็จะก่อให้เกิดความรำคาญหรือทุพพลภาพในการใช้ชีวิตประจำวัน สุดท้ายอาจก่อให้เกิดปัญหาเข่าเสื่อมก่อนวัยได้นะครับ.... สาเหตุของอาการปวดเข่า แบ่งได้เป็น 4 กลุ่มใหญ่ ดังนี้ 1. อาการปวดเข่าจากอุบัติเหตุ เช่น กระดูกรอบข้อเข่าหัก เส้นเอ็นรอบหัวเข่าหรือภายในเข่าได้รับบาดเจ็บ หมอนรองข้อเข่าบาดเจ็บ หรือมีเลือดออกในข้อเข่า 2. ข้อเข่าติดเชื้อ ส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย โดยมักจะผ่านมาทางกระแสโลหิต แ ล้วเกิดติดเชื้อที่ข้อเข่า ซึ่งแหล่งที่มาของเชื้อแบคทีเรีย เช่น หูชั้นกลางอักเสบ ฟันผุ คออักเสบ ติดเชื้อที่บริเวณลิ้นหัวใจที่ผิดปกติ แผลถลอก ติดเชื้อที่ระบบทางเดินปัสสาวะ หรือระบบทางเดินอาหารรวมถึงการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ 3. การอักเสบของข้อเข่า แบ่งเป็นกลุ่มย่อยง่ายๆ ได้ 2 กลุ่ม คือ การอักเสบของข้อเข่าจาก ภูมิคุ้มตัวเอง และการอักเสบของข้อเข่าจากผลึกยูริกหรือผลึกแคลเซียม 4. ข้อเข่าเสื่อม เกิดจากการสึกกร่อนของผิวกระดูกอ่อน ทำให้มีอาการปวดได้ พบในผู้สูงอายุเปรียบเหมือนกับยางรถยนต์ที่วิ่งบนถนนขรุขระซึ่งจะทำให้ยางสึกได้ ความแตกต่างและความสำคัญของแต่ละสาเหตุ 1.
โรคข้อเข่าเสื่อม เกิดจากความเสื่อมของกระดูกอ่อนผิวข้อ ทั้งทางด้านรูปร่างและโครงสร้างทำให้การทำงานของกระดูกข้อต่อและกระดูกบริเวณใกล้ข้อเกิดการเปลี่ยนแปลงไม่สามารถกลับสู่สภาพเดิมได้ และอาจเสื่อมมากขึ้นตามลำดับ สาเหตุของโรคข้อเข่าเสื่อม แบ่งเป็น 2 สาเหตุ คือ 1. สาเหตุปฐมภูมิหรือไม่ทราบสาเหตุ เกิดจากความเสื่อมสภาพของกระดูกอ่อนตามวัย 2.
โรคข้อเข่าเสื่อมเป็นโรคที่พบได้บ่อยมากในผู้สูงอายุ ทำให้เกิดอาการปวดเข่า บวมแดง เข่าฝืดยึด มีเสียงดังในเข่า ไม่สามารถประกอบกิจวัตรประจำวันได้ดังปกติ ซึ่งมีความรุนแรงมากน้อยต่างกันไป สาเหตุมีได้หลายประการ เช่น ผลสะสมจากความเสื่อมและการใช้ข้อเข่าที่ไม่ถูกต้องตั้งแต่วัยหนุ่มสาว การที่มีน้ำหนักตัวมาก ๆ ทำให้เข่าต้องรับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวในทุกขณะที่ก้าวเดิน หรือเคยได้รับอุบัติเหตุบริเวณข้อเข่ามาก่อน บางรายเคยมีการอักเสบติดเชื้อ หรือเป็นโรคไขข้อ บางชนิด เช่น โรครูมาตอยด์ เป็นต้น อาการของโรค 1. เริ่มจากปวดเป็น ๆ หาย ๆ เมื่อได้พักการใช้เข่า อาการปวดก็จะทุเลา และจะปวดมากขึ้นเมื่อมีการใช้งานข้อนั้นมาก ในรายที่เป็นมากอาการปวดจะเป็นตลอดเวลา 2. ข้อฝืด ใช้งานไม่ถนัด บางรายมีข้อติด 3. ข้อผิดรูป เข่าบวมโต บางรายมีขาโก่งออก 4. มีปัญหาในการใช้งานข้อเข่า เช่น ลุกนั่งม้าเตี้ย, ขึ้นลงบันได รวมทั้งการเดิน แนวทางการดูแลรักษา มุ่งลดอาการปวดด้วยวิธีต่าง ๆ รวมทั้งให้คำแนะนำผู้ป่วยให้ทราบถึงการใช้เข่าที่ถูกต้อง 1. ลดอาการปวดและเกร็งของกล้ามเนื้อรอบเข่า โดยใช้ความร้อนประคบ 2. บริหารกล้ามเนื้อรอบเข่าให้แข็งแรงอย่างสม่ำเสมอ เพื่อช่วยลดแรงกระทำต่อข้อเข่า 3.
การใช้อุปกรณ์ช่วยเดินและกายภาพบำบัด อุปกรณ์พยุงข้อหรือสนับเข่า ใช้ในกรณีที่ข้อเสื่อมมาก ความมั่นคงเข่าลดลง แต่หากใช้กันยาวนาน ทำให้กล้ามเนื้อรอบๆ ลีบลงได้ ดังนั้นต้องบริหารกล้ามเนื้อควบคู่อุปกรณ์ช่วยเดิน ลดแรงกดที่ข้อเข่าถึง 25% ถือด้านตรงข้ามกับข้างที่ปวด หากเป็นสองข้างให้ถือข้างที่ถนัด การประคบเย็นหรือร้อน สามารถช่วยลดอาการอักเสบ และลดอาการ ปวดได้ ยาที่ใช้ในโรคข้อเข่าเสื่อม 1. ยาลดอาการปวดและการอักเสบ เช่น พาราเซตามอล ยาลดการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ แต่ต้องระวังในคนไข้ที่เป็นโรคไต โรคกระเพาะอาหาร โรคหอบหืด หรือโรคหัวใจ รวมถึงยาในกลุ่มอนุพันธ์ฝิ่น ใช้ในกรณีที่มีอาการปวดรุนแรงหรือมีข้อห้ามในการใช้ยากลุ่มอื่น 2. ยาทาเฉพาะที่ ได้แก่ ยาแก้ปวดและลดการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ และเจลพริก (capsaicin) 3. ยาพยุงหรือลดความเสื่อมของข้อ เช่น glucosamine, diacerein, hyaluronic acid ออกฤทธิ์ช้า ราคาแพง และใช้ได้ในกรณีข้อเข่าเสื่อมเป็นไม่มาก 4.
ปรับเปลี่ยนอิริยาบถและสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมในชีวิตประจำวัน - การนั่ง ควรนั่งบนเก้าอี้ที่มีที่รองแขนเพื่อช่วยพยุงตัว ไม่ควรนั่งในท่าที่ต้องงอเข่า เช่น พับเพียบ ขัดสมาธิ คุกเข่า นั่งยองๆ รวมถึงการนั่งพื้นทำกิจกรรมต่างๆ - หลีกเลี่ยงการนั่งหรือยืนนิ่งๆ นานๆ ควรเปลี่ยนอิริยาบททุกๆ 1-2 ชั่งโมง - หลีกเลี่ยงการเดินขึ้นลงบันได หรือถือของยกของหนัก ควรใช้เครื่องทุ่นแรง เช่น รถเข็น หรือกระเป๋าที่มีล้อ 2. ควบคุมน้ำหนักตัว ด้วยการรับประทานอาหารที่เหมาะสม งดของมันของทอด แป้ง เครื่องในสัตว์หรืออาหารทะเล ร่วมกับการออกกำลังกายที่เหมาะสมหากเป็นโรคข้อเข่าเสื่อม 3.
ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียด!!! มีอาการบวมแดงและร้อนบริเวณข้อเข่า มีอาการปวดมากขึ้นเรื่อยๆ ปวดตลอดเวลา กดเจ็บ มีอาการปวดที่ข้อต่ออื่นๆ ร่วมด้วย กล้ามเนื้อต้นขาลีบ มีอาการชาหรือขาอ่อนแรง สีของผิวหนังบริเวณเท้ามีการเปลี่ยนแปลงเมื่อเดินนานๆ มีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น มีไข้ เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ต่อมน้ำเหลืองโต เป็นต้น
อุบัติเหตุ ผู้ป่วยจะมีประวัติการบาดเจ็บชัดเจน เช่น อุบัติเหตุมอเตอร์ไซค์ อุบัติเหตุจากการเล่นกีฬา มีอาการปวดเข่าทันที บวม กดเจ็บบริเวณที่ปวด ในกรณีที่มีอาการมาก เช่นมีกระดูกหัก อาจทำให้ไม่สามารถเดินลงน้ำหนักได้ ผมว่าควรมาพบแพทย์เพื่อได้รับการวินิจฉัยที่ถูกต้อง เหมาะสม เพื่อจะได้รับคำแนะนำในการปฏิบัติตัว หากมีข้อบ่งชี้ที่จะต้องผ่าตัดก็จะได้รับการนอนในโรงพยาบาลเพื่อรอทำการผ่าตัดต่อไป 2. การติดเชื้อและการอักเสบที่เกิดจากผลึกกรดยูริกหรือแคลเซียม อาการมักคล้ายคลึงกัน คือ ปวดเข่าฉับพลัน บวม ผิวหนังแดงร้อน มีไข้ หากมีอาการดังกล่าวควรรีบมาพบแพทย์ทันที เพราะถ้าหากได้รับการรักษาช้าจะทำให้การอักเสบเป็นมากขึ้น ผลที่ตามมาก็คือผิวข้อกระดูกอ่อนจะถูกทำลาย ทำให้เกิดข้อเข่าเสื่อมก่อนวัยได้ 3. โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ เป็นโรคที่พบได้น้อย เกิดจากปฏิกิริยาภูมิคุ้มกันตนเองผิดปกติ ทำให้เกิดการทำลายข้อที่มีอาการ ส่วนใหญ่เกิดในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย อาการมักเป็นหลายข้อ เช่น ข้อนิ้วมือ ข้อมือ ข้อศอก ข้อเข่า หรือข้อนิ้วเท้า มีอาการติดฝืดตึงข้อตอนเช้า แต่หากมีอาการของระบบอื่นๆในร่างกายร่วมด้วย เช่น ระบบทางเดินหายใจ ระบบไตมีผื่นขึ้นใบหน้า ระบบโลหิต ควรมาพบแพทย์เฉพาะทางอายุรกรรมโรคข้อเนื่องจากสงสัยกลุ่มอาการ SLE หรือโรคพุ่มพวง 4.
ใช้สนับเข่าในรายที่เข่าเสียความมั่นคง สนับเข่าจะช่วยให้ข้อเข่ากระชับ ลดอาการปวด แต่ถ้าใช้เป็นเวลานานจะพบว่ากล้ามเนื้อรอบเข่าลีบจากการไม่ได้ใช้งาน จึงควรมีการบริหารข้อเข่าร่วมด้วยเสมอ 4. อริยาบทต่างๆ ที่ไม่เหมาะสม จะเป็นตัวเร่งส่งเสริมให้เกิดความเสื่อมในข้อเข่าเร็วขึ้น ได้แก่ การนั่ง พับเพียบ คุกเข่า ขัดสมาธิ นั่งยอง ๆ ควรหลีกเลี่ยงหรือปรับให้เหมาะสมกับการดำเนินชีวิตประจำวันของผู้นั้น 5. ไม้เท้าจะช่วยแบ่งเบาแรงที่กระทำต่อข้อเข่าได้บ้าง และช่วยเพิ่มความมั่นคงในการยืนเดิน บางรายอาจใช้ร่มแทน ให้ใช้จุกยางอุดปลายร่มเพื่อกันลื่น 6. ลดน้ำหนัก เนื่องจากเวลายืนเดิน เข่าต้องรับน้ำหนัก 3-4 เท่าของน้ำหนักตัว ในผู้ที่มีน้ำหนักตัวมาก เข่าจะยิ่งต้องรับน้ำหนักมากกว่าปกติ ดังนั้นการลดน้ำหนักจะช่วยลดแรงกระทำต่อข้อเข่าได้มาก การบริหารกล้ามเนื้อรอบเข่า 1. นั่งชิดเก้าอี้ เหยียดเข่าตรง เกร็งค้างนับ 1-10 หรือเท่าที่ทำได้ แล้วเอาลงนับเป็น 1 ครั้ง ทำสลับข้าง ( รูป 1) 2. ถ้าทำได้เก่งขึ้น ให้นั่งไขว้ขา โดยขาบนกดลง และขาล่างเหยียดขึ้น เกร็งนับ 1-10 ทำสลับข้างเช่นกัน ท่านี้ช่วยให้กล้ามเนื้อหน้าขา และท้องขาแข็งแรงขึ้น ( รูป 2) 3.